ไวน์ (Wine) เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากองุ่น โดยกระบวนการหลักในการสร้าง ไวน์
คือการหมักองุ่น ซึ่งเป็นกระบวนการที่น้ำหวานขององุ่น (น้ำมิตรสวาท) ถูกแปรเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยการกระตุ้นโดยเชื้อสาหร่ายจุลินทรีย์ที่อยู่ธรรมชาติบนผลองุ่น กระบวนการหมักนี้จะทำให้ได้สารอื่นๆ ที่มีผลต่อรสชาติ กลิ่น และคุณภาพของไวน์ การประวัติของไวน์มีอายุมากนับหลายพันปีแล้ว แต่สายพันธุ์องุ่นที่ใช้ในการผลิตไวน์มีต้นกำเนิดมาจากพื้นที่ที่ตอนนี้เรียกว่าเนียร์ทะวาน ซึ่งอยู่ในประเทศจอร์เจีย และประเทศอินเดียเหนือ ที่มีการปลูกองุ่นเป็นพืชประดับเพื่อเก็บลูกผลและทานเป็นอาหารก่อนที่จะเริ่มถูกนำมาประกอบเป็นไวน์ในภูมิภาคนี้ แต่การปลูกและผลิตไวน์เป็นอาชีพที่มีความสำคัญในประเทศอียิปต์โบราณ และครีตต์โบราณ เป็นต้น
ข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตไวน์และความรู้เกี่ยวกับไวน์ได้ถูกนำเข้ามายังกรุงโรมันอาณาจักร และถูกพัฒนาและปรับปรุงต่อยอดโดยชาวโรมัน พวกเขาเริ่มปลูกองุ่นในสวนองุ่นและนำมาทำไวน์ในประเทศโรมันเรเนีย โดยที่คำว่า "vinum" เป็นคำที่ใช้ในภาษาละตินแปลว่าไวน์ ต่อมา ไวน์และการปลูกองุ่นได้ถูกนำเข้ามายังฝั่งทะเลเมดิเตอร์ พวกเจ้าของสถานที่อื่น ๆ บางแห่งได้รับความรู้และเทคนิคจากการปลูกองุ่นและผลิตไวน์จากกรุงโรมัน สิ่งเหล่านี้ได้สร้างพื้นฐานในการปรับปรุงและพัฒนาการผลิตไวน์ในภูมิภาคอื่นๆ ของยุโรปและทั่วโลก
ไวน์สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามสายพันธุ์ขององุ่น และวิธีการผลิต โดยไวน์ที่มีชื่อเสียงทั่วโลกมีหลายแบบ เช่น ไวน์แดง (Red Wine) ที่ทำจากองุ่นที่มีเปลือกและเมล็ดองุ่นส่วนใหญ่ และได้สีแดงจากการหมักพร้อมเปลือก ไวน์ขาว (White Wine) ที่ทำจากองุ่นที่เป็นส่วนเนื้อ และเมล็ดองุ่นน้อย และไม่มีการหมักพร้อมเปลือก นอกจากนี้ยังมีไวน์โรสé (Rosé Wine) ที่เป็นผลิตภัณฑ์ระหว่างไวน์แดงและไวน์ขาว มีการหมักพร้อมเปลือกอย่างสั้นๆ ทำให้ได้สีชมพูอ่อน
การเลือกดื่มไวน์แบ่งออกเป็นสามขั้นตอนหลัก คือดู กลิ่น และชิม การดื่มไวน์นอกจากการเพลิดเพลินในรสชาติและกลิ่น ยังเป็นกิจกรรมทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย และสามารถเป็นโอกาสในการเรียนรู้เกี่ยวกับพื้นที่ปลูกองุ่นและกระบวนการทำไวน์ของแต่ละสถานที่ด้วย แม้ว่าไวน์จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ควรระมัดระวังในการบริโภคและควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อประโยชน์ที่ดีที่สุดและเพื่อป้องกันผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการดื่มเกินขนาด